สวัสดีครับ ตอนนี้เป็นตอนที่8 แล้วนะครับ จะเกี่ยวข้องกับ Conditional Rendering ซึ่งก็คือการใช้ if else นั่นเอง โดย Vue ก็ออกแบบมาให้เราใช้งานได้ง่ายครับ โดยเราสามารถใส่ if else ใน Attribute ได้เลย มาดูกันครับว่า Vue ทําอะไรได้บ้าง
เราสามารถใช้ v-if ได้เลยตามนี้ครับ
<h1 v-if="true">Yes</h1>
โดยที่ภายในจะเป็น Condition ของเราตามต้องการครับ ตัวอย่าง
<h1 v-if="Math.random() > 0.5">Yes</h1>
นอกเหนือจากนี้เราสามารถใช้ v-if กับ template ได้ด้วยดังนี้
<template v-if="ok">
<h1>Title</h1>
<p>Paragraph 1</p>
<p>Paragraph 2</p>
</template>
เราสามารถใช้ v-else หรือ v-else-if แบบนี้ได้ครับ
<div v-if="type === 'A'">
A
</div>
<div v-else-if="type === 'B'">
B
</div>
<div v-else-if="type === 'C'">
C
</div>
<div v-else>
Not A/B/C
</div>
การใช้งาน v-else และ v-else-if จะต้องเขียนติดกันนะครับ
ในกรณีที่เราใช้ v-if v-else หรือ v-else-if กับ component บางอย่างที่เป็นชนิดเดียวกัน Vue จะพยายามใช้ของเดิมเพื่อให้แสดงผลได้เร็วที่สุด อาจจะทําให้เกิดปัญหาขึ้นได้ดังตัวอย่างนี้
<template v-if="loginType === 'username'">
<label>Username</label>
<input placeholder="Enter your username">
</template>
<template v-else>
<label>Email</label>
<input placeholder="Enter your email address">
</template>
เมื่อมีการเปลี่ยนประเภทของการ login ข้อมูลใน input จะไม่เปลี่ยน วิธีแก้ปัญหาคือ การใช้ Key ตามตัวอย่างนี้ครับ
<template v-if="loginType === 'username'">
<label>Username</label>
<input placeholder="Enter your username" key="username-input">
</template>
<template v-else>
<label>Email</label>
<input placeholder="Enter your email address" key="email-input">
</template>
นอกจาก v-if Vue ยังมีอีกทางเลือกคือ v-show การใช้งานก็เหมือนกันครับ
<h1 v-show="true">Hello!</h1>
ความแตกต่างระหว่าง v-if และ v-show คือ v-show จะยังคง Code html อยู่แต่ไป set css ให้ show หรือ hide เท่านั้น ส่วน v-if ไม่มี Code html อยุ่เลย
v-show ไม่สามารถใช้กับ template ได้ครับ
สรุปคือเราสามารถจัดการ การแสดงผลใน Vue ได้อย่างง่าย โดยใช้ v-if หรือ v-show โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้ v-if มากกว่าครับ แล้วพบกันบทความหน้านะครับ
ก่อนอื่นมาทําความรู้จักกับ Tor hidden service กันก่อน Tor hidden service เป็นการซ่อน Service หรือ Website ไม่ให้สามารถเปิดได้ด้วยเครือข่าย Internet ทั่วไป หรือไม่สามารถค้นหาผ่าน Search engine ทั่วไปได้ เรียกกันว่า Deep web และ Dark web โดยจะซ่อน Service หรือ Website ไว้ในเครือข่าย Tor ซึ่งจะสามารถเข้าได้ผ่าน Tor browser และ Url จะลงท้ายด้วย .onion รายละเอียดสามารถกลับไปอ่านจากบทความเรื่อง Deep web และ Dark web ด้านมืดของ Internet
วิธีหมักหมูให้นุ่ม สําหรับทําหมูกระทะ สุกี้ เริ่มต้นด้วยการเตรียมเครื่องปรุงตามนี้
Template Literals คือ ความสามารถหนึ่งของ javascript ที่เราสามารถใช้ String ภายในเครื่องหมาย grave accent (อยู่ที่ปุ่มเปลี่ยนภาษา) ได้เช่น